ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564

REVIEW 2020

REVIEW 2020 

ปีนี้เป็นปีที่แปลกที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ เป็นปีที่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น กลายเป็นคนระมัดระวังมากขึ้น และ ยังเป็นปีที่มีช่วงเวลาที่เว้นว่างให้ได้คิด ได้กลับมาหันหัวเรือกันใหม่ เรียกได้ว่าปีนี้เป็นปีที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมี ไม่คาดคิดคาดฝันมาก่อน

สุขภาพร่างกาย และ จิตใจ

  • เริ่มต้นปีด้วยโรคโควิด ที่ตอนแรกที่ฟังข่าวก็ไม่ได้อะไรมาก คิดว่าคงเหมือน ebola ที่มาไม่ถึงไทย แต่หลังจากเห็นการลุกลามของมันแล้ว มันเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดการเลยก็เป็นได้ โดยปกติผมเป็นค่อนข้างสะอาดอยู่แล้ว และค่อนข้างระวังตัว ในช่วงแรกผมเลยไม่ได้กลัวอะไรมากนัก แต่พอได้รู้ว่าชาวจีนติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ประกอบกับที่ทำงานเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของชาวจีนเลยก็ว่าได้ ทำให้เริ่มมีความวิตกกังวล ความวิตกกังวลนี้ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกเพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็เริ่มมีอาการเป็นไข้ หลังจากมีเพื่อนร่วมงานในออฟฟิตมีอาการเป็นหวัดไอจาม ตอนนี้ความกลัวผมก็มาถึงที่สุด ผมหยุดงานไปหลายวัน หลังจากนั้นก็ได้ยินว่าเพื่อนๆออฟฟิตก็เริ่มเป็นไข้ ไล่กันทีละคน เพื่อนร่วมงานคนนึงที่เป็นคนแข็งแรงตั้งแต่ผมเข้ามาทำงาน ยังไม่เคยเห็นเขาเป็นหวัดสักครั้ง ครั้งนี้เค้าเป็นไข้หายไป 2-3 วัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกลัวโรคติดต่อเรียกว่า ที่สุดครั้งนึงในชีวิตเลยก็ว่าได้ โชคดีที่สุดท้ายทุกคนสามารถ recover กลับมาได้ หายป่วยเป็นปกติ จนถึงปัจจุบันนี้พวกผมก็ยังไม่แน่ใจว่า ณ วันนั้นเราได้ติดจนหายไปแล้วหรือเปล่า หรือก็แค่ติดไข้หวัดธรรมดา

  • เป็นครั้งแรกที่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นซึมเศร้า แม้ผมจะไม่ถึงกับเป็นก็ตาม สาเหตุต้องเล่าย้อนกลับไป หลังจากหายไข้ผมก็ยังมีอาการ หายใจไม่สะดวกอยู่ ที่ไม่มั่นใจว่าเกิดอาการนี้เพราะอะไร ผมตัดสินใจยังไม่ไปตรวจเพราะในช่วงเวลานั้น ความเข้าใจในการแพทย์ต่อการติดต่อของเชื้อโรคนี้ ยังไม่แน่นอนแน่ชัดมากนัก ผมกลัวจะไปติดเชื้อที่โรคพยาบาล ประกอบกับรัฐบาลบอกว่าถ้ามีอาการแต่ไม่ได้ไปจุดเสี่ยง ไม่ต้องมาตรวจเพราะจะยิ่งเสี่ยง ผมเลยรักษาตัวเองอย่างดีที่บ้าน ในช่วงเวลานี้ผมกังวลเป็นอย่างมาก ทำงานได้น้อยลง และเริ่มระวังทุกอย่างรอบตัว วิตกกังวลจนน้ำหนักลดไปหลายกิโล คนรอบข้างก็สังเกตุได้ ช่วงนั้นอารมณ์ดำดิ่งมากๆ ปกติผมจะเป็นคนที่ ค่อนข้างพลังงานชีวิตสูง ผมมี passion ผมทำงานหนัก โดยไม่เหนื่อยล้า มีโปรเจคทั้งในงานประจำ และโปรเจคส่วนตัวที่ทำหลังเลิกงาน ที่ผมตั้งใจทำอย่างไม่ย่อท้อ หลังจากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ passion ก็เปลี่ยนไปสิ้นเชิง ผมไม่เข้าใจตัวเอง ไม่สามารถกำจัดความวิตกกังวลนี้ออกไปจากใจได้ แม้กระทั่งตอนที่ สถานการณ์โควิดกลายเป็น 0 ติดต่อกันหลายเดือนแล้วก็ตาม ผมเริ่มมีอาการที่คล้ายคลึงกับไมเกรน ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีช่วงชีวิตแบบนี้ ผมนึกไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะงานต่อให้ผมทำพลาดผมก็เศร้าอยู่ไม่นานก็กลับมาใหม่ได้ เรียกได้ว่าสาเหตุของการต่ำติ่งของจิตใจครั้งนี้เป็นอะไรที่ไม่เคยคาดคิด

  • สายตาเริ่มมีปัญหาครั้งแรก หลังจากใช้งานมันมาอย่างหนักหน่วง เริ่มมีภาวะวุ้นในตาเสื่อม โชคดีที่ไปตรวจแล้วก็ยังดีอยู่ไม่เป็นอะไรมาก เริ่มกลับมารักษา ถนอมสายตามากขึ้น วางแผนการทำงาน และการพักผ่อนสายตามากขึ้น

  • ปีนี้ช่วงต้นปีแทบไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย จริงๆก็ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเพราะงานหนัก และผมเริ่มเร่งชีวิตตัวเอง ผมเคยตั้งเป้าหมายสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก่อน 30 ซึ่งก็ยังเหลืออีกหลายอย่างที่ยังไม่สำเร็จ ผมเลยคิดว่าต้องเริ่มเร่งแล้วละ หลังจากผมหายไข้ที่เป็นอยู่เกือบ week ที่เล่าไปก่อนหน้า ผมก็เริ่มอยากฟื้นฟูสุขภาพ ช่วงต้นปีถึงกลางปี ผมได้ Work from home ยาวๆ เลยติดสินใจซื้อลู่วิ่งมาที่บ้าน เพื่อให้พ่อแม่ผมได้ออกกำลังกายที่บ้านด้วย เพราะไม่อยากให้ออกไปนอกบ้านเท่าไร ช่วงนั้น covid-19 ยังรุนแรง เลยทำให้ผมได้ออกกำลังกายถี่ขึ้นและบ่อยขึ้นกว่าตอนต้องไปวิ่งไปออกกำลังที่ fitness ช่วงที่ออกกำลังกายถี่ๆ รู้สึกได้ว่าร่างกายดีขึ้น แต่เนื่องจากจิตใจยังไม่ดี เลยมีอาการป่วย ออดๆแอดๆบ้าง น่าจะจากความเครียดและคิดมาก

สรุป

ปีนี้เป็นปีที่ด้านสุขภาพร่างกาย และ จิตใจแย่มากๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีช่วงชีวิตที่ต้องกลัวการติดเชื้อโรคแบบนี้ และไม่คิดมาก่อนว่าจะเจออะไรที่ทำให้ตัวเอง down ไปเกือบปี โดย recover ยากมากขนาดนี้ ตอนนี้เริ่มดีขึ้นมากๆแล้ว จากปัญหาเหล่านี้ทำให้ผมเริ่มคิดเรื่องอนาคตมากขึ้น ผมไม่ได้อึดทำงานได้หามรุ่ง หามค่ำเท่าเดิมอีกแล้ว ต่อไปนี้เส้นทางชีวิตต้องชัดเจน รู้จักปฏิเสธเส้นทางที่จะเราไม่ได้เลือก คุณทำทุกอย่างพร้อมกันไม่ได้หรอก อย่าไปเสียดาย อย่าจับปลาหลายมือ แม้ใจจะสู้ แต่ร่างกายไม่เอาด้วย


การงาน และ แผนการชีวิต

  • ผมมีแผนการในชีวิตที่ต้องทำให้ได้ก่อน 30 ภาพในวันที่ตั้งเป้าหมาย กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันค่อนข้างต่างกันพอสมควร เพราะความเข้าใจในชีวิตหลังจากได้ลองเรียนรู้การทำงานหลายๆแบบมาแล้ว ทำให้มุมมองเปลี่ยน การวางแผนก็เปลียนไปเช่นกัน
  • เป็นปีที่ผมเริ่มมาจริงจังเรื่องโปรเจคส่วนตัว อยากทำให้มีธุรกิจที่สามารถเอาโปรเจคนี้มาทดลองใช้ได้ เรียกได้ว่า ได้เรียนรู้ทั้งการจัดการ การทำระบบ ไปพร้อมๆกัน แต่ค่อนข้างเป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงเพราะ หลายครั้งบริษัทพลาดโอกาสไปเพราะ ระบบที่ผิดพลาด ผมเข้าใจลูกค้ามากขึ้น พอเราลองมายืนทางฝั่งลูกค้า หรือผู้ใช้งานบ้าง ไอเดียที่เคยคิดไว้ก็ถูกเกลาๆ จนแตกต่างไปจากไอเดียเริ่มต้นมาขึ้น ปีนี้ผมได้ทดลอง pitch project นี้กับรุ่นพี่ที่เคารพ แต่เนื่องจากหลายๆปัจจัย ตัวโปรดัคที่ยังต้องปรับเปลี่ยนอีกเยอะ เมื่อทดลองใช้และเข้าใจปัญหาที่แท้จริงมากขึ้น ผมเลย pause ไว้ก่อน มาลองออกแบบใหม่กันอีกครั้ง ผมมีความคิดจะเริ่มทำ product นี้ใหม่อีกครั้ง เพราะผมเห็น pain ที่คนส่วนมากเจอ และ pain นี้มันชัดเหลือเกินในใจผม แต่มันก็ยากที่จะอธิบายให้คนอื่นได้ด้วยคำพูด คือต้องเคยเจอน่ะแหละถึงจะเข้าใจความสำคัญของโปรดัคนี้ เป้าหมายต่อไปคือ ต้องการทีมที่พร้อมจะไปด้วยกัน เชื่อใน passion นี้
  • ปีนี้ผมรับงานนอกอีกครั้ง ต้องบอกว่าผมและทีม โชคดีที่ได้ connection งาน scale ใหญ่พอสมควรมาจาก อาจารย์ที่ปรึกษา แต่ก่อนหน้านี้ต้องขอโทษทีมจริงๆ ผมละเลยงานเนื่องจากปัญหาชีวิต ในช่วงนั้น ทำให้ลึกๆผมอยากลองเต็มที่กับมันดูอีกสักครั้ง ขอแก้ตัว ครั้งนี้โอกาสกลับมาอีกครั้ง อยากรู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง จะได้ไม่เสียใจในภายหลังว่าทำไมถึงไม่ลองเต็มที่กับโอกาสทางนี้ดูก่อน สรุปคือ เป็นงานที่ค่อนข้างพูดได้ว่าไม่คุ้ม ผมเสียเวลา เสียแรงไปมากกว่าที่คิดเยอะมากๆ แต่ก็ได้ลองใช้ ภาษา และ stack ที่เคยอยากใช้ เป็นบทเรียนที่สอนให้ผมอย่างดี ว่าควรวางแผนอย่างดีก่อนจะเริ่มงานอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นไม่ทำดีกว่า อย่าเสียดายกับโอกาสเล็กๆน้อยๆ โดยรวมถือว่าคุ้มในด้านประสบการณ์ แต่ไม่คุ้มกับแรงงาน และเวลาที่เสียไป อย่างน้อยก็ได้เป็นข้อพิสูจน์อะไรหลายๆอย่าง ผมจะไม่เสียดายอีกแล้ว ถือว่าเป็นการเติมเต็มข้อกังขาในชีวิต
  • ปีนี้เรื่องการเมืองส่งผลกับ เป้าหมายชีวิตผมอย่างมาก ผมได้เห็นการล้มของ startup หลายเจ้า หลายเจ้าก็กลับมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ หลายเจ้าก็ทนไม่ไหวล้มหายตายจากไป ภาวะ COVID ทำให้ผมได้เห็นความสำคัญที่แท้จริงของภาครัฐ ต่อธุรกิจในประเทศจริงๆ ความคิดในหัวผมตอนนี้คือ ถ้าผมยังอยู่ใน กฎเกณท์ของประเทศแบบนี้ มันช่างมืดมนเหลือเกิน น่าเศร้าที่ผมไม่สามารถทำความคิดความฝันผมให้เกิดขึ้นได้ในประเทศนี้ เป้าหมายผมเปลี่ยน ผมต้องไปต่างประเทศไปเก็บเกี่ยวความสำเร็จ เพื่อกลับมาเป็นข้อต่อรองในการทำความฝันของผม ในประเทศบ้านเกิดแห่งนี้
  • ปีนี้ผมเริ่มเห็นเพื่อนๆหลายๆคนเริ่มประสบความสำเร็จในชีวิต หลายคนประสบความสำเร็จอายุน้อยกว่าผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังเชื่อลึกๆว่า ตราบใดที่เรายังพัฒนาตัวเอง ยังมุ่งมั่นในเป้าหมาย ผมก็ต้องสำเร็จตามฝันได้เช่นกัน ต่างกันแค่เกิดเร็วหรือช้าก็เท่านั้นเอง สักปีผมจะมาเขียน review ด้วยความสำเร็จตามฝันให้ได้
  • จริงๆ ต้นปีนี้ผมวางแผนจะลาออกจากงานประจำมาโฟกัสที่ โปรเจคส่วนตัวอย่างเต็มที่ และช่วยงานที่บ้านด้วย แต่จาก COVID ทำให้ผมได้ work from home ผมมีเวลามากพอที่จะช่วยที่บ้านไปพร้อมกับการทำงานบริษัทอย่างเต็มที่ แต่ทางกลับกันปีนี้เป็นปีที่ผมเริ่มก้าวออกมา เพราะอยากให้ทุกอย่างมันรันได้เองโดยไม่มีผม เพราะผมมีแผนการจะไปต่างประเทศ พอออกมาบางอย่างที่ผมกังวลมันก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น หลายๆอย่างเดินไปได้เองอยู่แล้ว ผมกังวลเกินไป ผมเริ่มเอา tool ตามท้องตลาดเข้าไปแทน tool ที่ผมทำขึ้นเอง เพราะผมไม่มีเวลาจะ maintance ตัวระบบมากขนาดนั้น ผมประเมินงานผิดไป ผมมั่นใจในตัวเองมากไป สิ่งนี้ทำให้ผมเหนื่อยมากๆช่วงเวลาหนึ่งที่ งานประจำก็หนัก ปัญหาจาก tool ที่ผมสร้างให้ที่บ้านก็มีเป็นช่วงที่เหนื่อยสุดๆในชีวิตเลยช่วงหนึ่ง
  • ปีน้ีเนื่องจากโควิดทำให้ธุรกิจทางบ้านมีปัญหาเรื่องการหมุนเงิน ในบริษัทและปัญหาอื่นๆ แต่โชคดีที่ผ่านกันมาได้ ผมไม่ค่อยได้ช่วยเท่าไรแล้ว เพราะ down จากโควิดส่วนหนึ่ง และพยายามถอยออกมาส่วนหนึ่ง แต่ก็อยู่ช่วยอย่างเต็มกำลังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมช่วยปรับกลยุทธ์เล็กน้อย ซึ่งที่ได้ผลค่อนข้างดี เป็นความภูมิใจเล็กๆในหัวข้อ งานที่บ้าน
  • ได้เริ่มฝึก และ เรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง สมัคร course ภาษาอังกฤษไปค่อนข้างแพงพอสมควร ได้เลื่อนขั้นขึ้นด้วย ก็ถือเป็นการวัดทักษะ ที่เราไม่เคยมั่นใจมาก่อนเลยในชีวิต ปีต่อไปผมจะเอาจริงเอาจังแล้ว ทักษะนี้สำคัญต่ออนาคตผมมากกว่า ทักษะไหนๆเลยในตอนนี้
  • ก่อนจะไปต่างประเทศ ผมเริ่มมี plan จะเริ่มขยับไปทำงานในบริษัทที่มีชาวต่างชาติเยอะๆดูก่อน ให้เข้าใจ culture ของบริษัทต่างชาติ ก็มีเล็งๆไว้หลายที plan ล่มเพราะโควิดส่วนหนึ่ง เพราะความไม่กล้าของผมส่วนหนึ่ง ตอนนั้นกลัวชาวต่างชาติกับโควิด เฮ้อชีวิต ฮ่าๆ
  • สุดท้าย review งานปัจจุบันสักหน่อยจริงๆ อันนี้ต้องแอบขอโทษบริษัทปัจจุบัน เพราะแผนการที่ผมวางมันล่มไม่เป็นท่านี่แหละ เลยทำให้ตัวงานที่ทำปัจจุบันไม่เข้าร่องเข้ารอยเท่าไร ก่อนหน้านี้บริษัทปัจจุบันผมอยากทำเว็บโปรดัคหลักใหม่ทั้งหมด จริงๆ ณ ตอนนั้นถ้าผมประเมิน ผมทำเองก็ได้กับทีมน้องอีกหนึ่งคน จริงๆมันทันนะ แต่ตอนนั้น แพลนจะไปโฟกัสโปรดัคที่บ้านเต็มที่ เลยไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนั้นไป เค้าเลยไปจ้าง outsource ข้างนอกมาทำกลับเป็นเสียโอกาสพิสูจน์ตัวเองไปเลย ตัวโปรเจคมันเลยไม่ค่อยจะถือว่าเป็นของที่ผมสร้างมาเท่าไร ไม่ได้ภูมิใจเท่าไร เหมือนมา maintain เฉยๆ พอแผนเปลี่ยนผมก็เปลี่ยนก็เริ่มพยายาม เก็บเกี่ยวความรู้ระหว่างการทำงานให้ได้มากที่สุด พยายามเอาท่าแปลกๆมาลอง ในโปรเจค แต่ไม่ให้มันดูแตกต่างจากของเก่าเกินไป หลายๆอย่างก็ฝืนๆ เราไม่ได้ทำโปรเจคนี้มาตั้งแต่แรกอะเนอะ
  • ในเรื่องทักษะ technical ปีนี้ถือว่าได้กลับไปอ่าน fundamental ของหลายๆอย่างที่ใช้มาหลายปี เข้าใจมันมากขึ้นมากๆ ได้มีโอกาสลองไปอ่านฝั่งการ design backend และ frontend รวมไปถึงทักษะต่างๆ แต่เป้าหมายปีที่แล้วที่จะ เรียนรู้ infra ให้มากขึ้นเนี่ยจนปีนี้ก็ยังไม่ได้ทำแฮะ เอาจริงๆงานพวกนี้ถ้าไม่ได้มีโอกาสให้ทำจริงๆ ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรเพื่อฝึกฝนดี ซื้อ course แต่ดองอยู่ หวังว่าปีหน้าจะได้ไป discover infra field แบบเต็มตัวนะครับ
  • ทักษะ soft skill ปีนี้ ได้ทำเยอะอยู่ แม้ทีมจะมีสองถึงสามคนเนี่ยแหละ 555 ผมพยายามทำให้การ launch การทำ version มีระบบมากขึ้น มีการ track มีการสื่อสารกับทางฝั่ง QA และ PM ให้เป็นระบบมีการจดบันทึก รวมไปถึงการ บันทีก architect design decision ด้วยแหละ ความเห็นผมคือดีขึ้นมากนะ เป็นระบบมากขึ้น แต่ก็เหนื่อยอยู่แฮะ ต้องทั้งจัดการเรื่องเหล่านี้ และต้อง code ในจำนวนงานที่เท่าๆเดิม แต่ปีนี้ก็ได้เลื่อนขั้นอยู่ ได้มาลองเป็น architect ที่ยังต้อง code หวังว่าทักษะนี้จะได้เอาไปใช้ ตอนที่มีโอกาสได้บริหารทีมใหญ่ๆนะครับ จะที่บริษัทปัจจุบัน หรือที่บริษัทอื่นในอนาคตก็แล้วแต่

สรุป

การงานปีนี้แผนพังพอสมควร จริงๆถ้าจิตใจไม่ down ก็คงปรับตัวกลับมาได้เร็วกว่านี้ แต่ก็นะ ใครจะไปรู้อนาคต คนเราก้มีจังหวะขึ้นลงสลับกันไป แต่ปีนี้มีวินัยมากขึ้นนะ ทำอะไรตามแผนการมากขึ้น กลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น โดยภาพรวมด้านการงาน ก็ไม่แย่มากนะปีนี้ ยังมีอะไรดีๆอยู่ แต่ชีวิตก็เคลื่อนที่ไปช้ากว่าที่คาด พอสมควร ไม่เป็นไรปีหน้าเอาใหม่ เรื่องงานที่บ้านตอนนี้เริ่มคงตัวแล้วนะ พร้อมสำหรับการไปทีอื่นนานๆแล้วละ ไม่ต้องอยู่ support ขนาดนั้น จริงๆบริษัทที่บ้านเนี่ยให้มีกำไรอยู่ได้ผมก็พอใจแล้วละ เรื่องโปรเจคส่วนตัวตอนนี้ requirement, business model ก็ชัดแล้วเหลือทำแหละ เหลือทีม ก็ต้องลองหา จริงๆขอแค่ทีมที่พร้อมสู้ไปด้วยกัน เวลามีปัญหาก็พอแล้ว ไม่ต้องเก่งหรอก คนเก่งเอาไว้จ้างเอาดีกว่า เก่งมากก็อีโก้มาก อีโก้มาก ก็คุยกันยากหน่อย


ความรัก

  • ความรักปีนี้ เห็นเค้าตัวเค้าบอกว่าคงที่ เราก็คงที่ก็ได้ 5555
  • ผมถือว่าตัวเองโชคดีมากๆที่เจอ คนที่เข้าใจ ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ผมอ่อนแอที่สุดแล้ว อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะมีปีนี้อยุ่ แต่ก็มีมิลค์ ที่ช่วยปลอบ ช่วยเรียกสติ ทำให้เจอตัวเองตอนที่กลัวอะไรสุดๆ เหมือนเด็กน้อยไปเลย ขอบคุณมากครับผม
  • จริงๆมีแผน ว่าจะไปเที่ยวนู้นนี่ด้วยกันให้มากขึ้น คิดว่า ชีวิตต้องเริ่ม balance แล้วตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว แต่สุดท้ายตรงกันข้ามเลย เพราะ COVID นี่แหละนะพังหมดเลย มิลค์ก็งอแงเล็กน้อย แต่ก็จากข้อบน เจ้าตัวก็เข้าใจ
  • ผมพยายามให้มิลค์เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกัน เพราะผมอยากให้เราไปด้วยกัน ไปทำงานต่างประเทศด้วยกัน ไปอยู่ที่นั่นสักปี สองปี แล้วค่อยกลับมา อาจจะไปเรียน หรือทำงาน แล้วแต่กำลังเงิน
  • จริงๆก่อนจะไปแบบนั้นได้ต้อง หมั้นก่อน หรือแต่งงานก่อนด้วยแหละ จริงๆมีความคิดนี้มาสักพักแล้ว แต่กำลังเก็บตังอยู่ สร้างความพร้อมอยู่

โดยรวมปีนี้เป็นปีที่แย่มากๆปีหนึ่งของผมเลย โชคดีที่ได้ Work from home ไม่งั้นผมคงจะจิตตกมากกว่านี้แน่ๆ ปีนี้เป็นปีที่เอาแต่กลัวเจ้าโควิด ชีวิต แผนการทุกอย่างพังหมด แต่โชคดีหลายๆเรื่อง บางเรื่องยังไม่เริ่ม โควิดมาก่อนก็โชคดีไปไม่งั้นคงหนักกว่านี้แน่ๆ ปีใหม่นี้ 2021 โควิดกลับมาอีกแล้ว และดูท่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆไปอีก ผมไม่อยากจะหยุดอยู่กับที่อีกแล้ว จะพยายามเคลื่อนที่ตัวเองไปพร้อมกับไอเจ้าโรคนี้นี่แหละ จนกว่าจะได้ฉีดวัคซีนถึงจะกลับมาทำนู่นนี่ได้อย่างสนิทใจเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เห็นชัดๆในปีนี้เลยคือร่างกายผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรต้องวางแผน มุ่งมั่น และ focus มากขึ้น ต้องสำเร็จแล้วละ ไม่จับปลาหลายมือแล้ว เจอกันครับปี 2021 หรือ 2020 part 2 อย่างที่ใครๆเค้าบอกกัน