ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567

REVIEW 2023: ขอตั้งชื่อปีนี้ว่า "น้อยแต่มาก ช้าแต่พร้อม"

สวัสดีผุ้อ่านทุกท่าน ทั้งที่หลงเข้ามา หรือ เจอลิงค์นี้จากที่ไหน หลังจากห่างหายกันไป 2 ปี ปีนี้ผมได้กลับมาเขียนแล้วเลยขอรวบยอด 2 ปีนี้ในบทความเดียวนี้เลย อย่างที่ตั้งชื่อ blog นี้ผมอยากตั้งชื่อสองปีนี้ว่า "น้อยแต่มาก ช้าแต่พร้อม เล็งและเด็ดขาด" จากสิ่งที่เจอ และได้เรียนรู้ในปีนี้ หลายอย่างทำให้เข้าใจความจริงมากขึ้น โตมากขึ้นและ มีการวางแผนมากขึ้น


การงาน

- 2 ปีที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาสได้เข้ามาทำงานในบริษัทใหญ่ต่างชาติที่เปิดรับการทำงานแบบ Remote ในไทย(สัญญาเป็นต่างชาติ) ผมเริ่มไต่เต้าจาก developer ธรรมจนได้เป็น lead developer ได้ภายในปีนี้ ต้องบอกว่า ได้เรียนรู้อะไรมากจริงๆ ทั้งเรื่องการบริหารทีม จิตใจของคน วัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละชาติ รวมไปจนถึงการวางแผนการทำงานแบบ remote ที่จะไม่ได้พบเจอหน้ากันตามปกติ และ timezone ก็อาจจะไม่ตรงกันอีกในบางทีม ในช่วงแรกต้องบอกว่าเป็นช่วงชีวิตที่เครียดมากๆจริงๆ แต่ก็ได้เรียนรู้หลายอย่างทั้ง hard และ soft skill การได้เป็น lead ทำให้ได้เรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเอง และการบริหาร งาน และ จิตใจของคน รวมไปถึงเรื่องการเมืองซึ่งเป็นเรื่องปกติในทุกๆวงการ

- ช่วงปลายปีนี้ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในทีมส่งผลกระทบทั้งทีม ก็คือโดนยกเข่ง ที่ทำให้ผมต้องออกหางานใหม่ ช่วงเวลาที่ได้ออออกมาหางานใหม่เป็นช่วงที่ได้เรียนรุ้ตัวเอง และได้ลด ego ของตัวเอง และมองภาพตลาดแรงงานตามความจริงมากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าผมจะมองไม่เห็นภาพนี้เลยถ้าไม่ได้ออกมา ผมเลยถือว่าเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกันไป ข้อดีที่ทำให้เราเติบโต และ ตอนนี้รู้ตัวเองแล้วว่าออกมาอยู่เฉยๆนิ่งๆไม่ได้ เมื่อก่อนเคยมีความคิดอยากออกมาพักสักช่วงหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้มีโอกาสลองอยู่เฉยๆ และก็ทำให้เข้าใจว่าเราอยู่เฉยๆไม่ได้จริงๆ จะมีความรู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองลดลง ซึ่งสุดท้ายก็จะหาอะไรทำอยู่ดี ส่วนข้อเสียก็น่าจะเป็นเรื่องจิตใจ เหตุการณ์นี้ทำให้ ความเข้าใจในชีวิตเปลี่ยนไปหลายอย่าง งานมั่งคงไม่มีอยู่จริง และ คนเราควรมีรายได้หลายทาง (ที่ไม่ได้ฉีกกันเกินไป)

- ช่วงปลายปีก็มีความโชคดี ที่ทำให้ผมได้กลับไปทำงานที่เดิม เหตุการณ์ความบังเอิญหลายๆอย่างในช่วงสิ้นปีนี้ ทำให้ผมแอบคิดอยู่ช่วงนึงเลยนะว่า หรือว่าทุกๆอย่างมันมี step ที่ถูกออกแบบมาแล้ว การกลับมาครั้งนี้เหมือนได้กลับมา set zero ใหม่ แต่ก็เป็นบทเรียนให้ชีวิตว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นก็มีลง เพราะฉะนั้น ทุกขณะชีวิตไม่ว่า จะเป็นช่วงที่ก้าวหน้าที่สุดก็ให้เตรียมใจเสมอกับขาลงของชีวิต ผมเป็นคนโชคดีที่ทุกครั้งที่เจอเรื่องหนักๆ ผมก็จะกลับมาได้ทุกครั้ง และการกลับมาทุกครั้งก็แข็งแกร่งกว่าเดิม ผมมองว่าการกลับมาทุกครั้งมักจะเป็นการเพิ่มแรงส่งให้กับการกระโดดครั้งใหม่ ที่ต้องการทั้งประสบการณ์ และ แรงใจ ในการกระโดดไปอีกขั้นของชีวิต

- ทีมงานนอกปีนี้ผมได้ช่วยทีมทำงานเสร็จไปหนึ่งงาน อย่างอื่นๆค่อนข้างคงที่เพราะแต่ละคนก็มีสิ่งอื่นที่ตัวเองไป focus มากกว่า แต่ปีหน้าจะเป็นปีที่ผมประเมินตัวเองว่าพร้อมที่จะเปิดรับโอกาสใหม่ๆและเต็มที่กับมันมาขึ้น เพราะ ประสบการณ์ที่ผมสั่งสมมาตอนนี้ผมคิดว่าเพียงพอแล้ว

- เรื่องธุรกิจที่บ้าน ปีนี้เกิดเรื่องขึ้นหลายเรื่องจริงๆ ไม่อยากจะโทษว่าเป็นเพราะสถานการณ์การเมืองทั้งหมดแต่ก็ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ปีนี้เป็นปีที่มีทั้งความหวัง และ ความผิดหวัง ในปีเดียวกัน แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้ที่จะรอ และวางแผนระยะยาว

ในเรื่องของการงาน ผมขอสรุปว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ "น้อยแต่มาก ช้าแต่พร้อม เล็งและเด็ดขาด" การทำงาน ออกแรงให้น้อยแต่ให้ได้ผลลัพธ์สูง เดินอย่างช้าๆให้วางแผนดีๆ ทำงานอย่างฉลาด เอาร่างกายและเวลาเข้าแลกให้น้อยลง มองหาโอกาส และ เริ่มใช้ทรัพยากรอื่นที่เรามี นอกจากเวลา และ แรงบ้าง มองโลกให้กว้างขึ้นเปิดรับความเห็นหลากหลาย และ เด็ดขาดให้มากขึ้น อะไรที่เราคิดดีแล้วก็ให้เชื่อมั่น ความสำเร็จเป็นของคนที่มั่นคงและมีวินัย 

สุขภาพ

- ตามปีแล้ว จริงๆปีนี้เป็นปีชง แต่ก็ขอบคุณที่ไม่ได้ทำให้มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆที่เกิดกับตัวและคนรอบๆตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จริงๆด้านสุขภาพปีนี้คือ เราใช้ร่างกาย และ เวลา เพื่อแลกเงินกลับมาเหมือนเคยไม่ได้แล้ว ร่างกายตอนใกล้ 30 รู้สึกได้ว่าเริ่มถอยหลังลง หน้าเริ่มมีริ้วรอย น้ำหนักขึ้นง่ายลดยาก นอกดึกติดๆกันหลายๆวันไม่ได้แล้ว กาแฟเริ่มไม่ช่วยอะไรเท่าไร ทุกสัญญานจากร่างกายเหมือนกำลังจะบอกเราว่า ทำงานให้ฉลาดขึ้นได้แล้ว วางแผนให้มากขึ้น ให้เงินให้เป็น ลงทุนให้เป็น และกล้าเสี่ยงให้มากขึ้น

- ปีนี้ได้กลับมาลดน้ำหนัก และวิ่งจริงจังอยุ่ช่วงหนึ่ง รู้สึกร่างกายตอนนั้นมันดีขึ้นจริงๆ แต่ช่วงหลังๆก็เริ่มเพลาๆลงเพราะ มีเรื่องหลายๆอย่างเข้ามา แต่ปีหน้าสัญญาว่าจะกลับไปวิ่งอีกครั้ง และมีวินัยมากขึ้นให้ได้

- เรื่องอาหารปีนี้ เริ่มกินตามใจปากน้อยลง เพราะการกินเป็นสิ่งสำคัญ ที่นำพาโรคมาได้ รู้สึกว่าระบบย่อยอาหารไม่ได้ทำงานดีเหมือนก่อนหน้านี้ และกินอาหารดึกมากไม่ได้แล้ว เพราะจะนอนไม่หลับ และจะมีอาการโรคกระเพาะ แต่ก็ได้เริ่มทำการ fasting อยุ่ช่วงนึง แต่สุดท้านก็เลิกไป จะพยายามกลับมาทำให้สำเร็จให้ได้นะในปีหน้า 

- สุขภาพจิตใจ ใจดีกับตัวเองมากขึ้น พักผ่อนเป็นมากขึ้น มีเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการจดจ่องานให้เสร็จ และการออกไปพักผ่อนแล้วค่อยกลับมาทำต่อ อย่างหลังทำงานเสร็จได้ไวกว่า และมีประสิทธืภาพกว่าพอสมควร เรื่องการคิดมาก ยังเป็นคนคิดมากเหมือน และ ยังกดดันตัวเองเหมือนเดิมแต่ปีนี้น้อยลงพอสมควร เพราะเข้าใจชีวิตมากขึ้น คนเราทำให้ดีที่สุดและหาจังหวะโอกาสที่จะ shoot ดีกว่ามาเครียดโดยที่ไม่มีผลดีอะไร คนเรามีจังหวะชีวิตขึ้นลงจงเตรียมพร้อมเมื่อคลื่นของคุณมาถึง

ความสัมพันธ์ และ ชีวิต

- ปีนี้เป็นปีที่ความสัมพันธ์พัฒนาก้าวกระโดดมากๆ จากที่ไม่รู้จักกับญาติพี่น้องฝั่งแฟนเลย ปีนี้ก็ได้เข้าไปรุ้จัก ไปเที่ยวด้วยกัน และทำกิจกรรมร่วมกัน ปีนี้ถือว่าเรื่องความสัมพันธ์ยืนหนึ่งเลย ได้เข้าใจกันและกันมากขึ้น ได้เจอปัญหาต่างๆร่วมกันมากขึ้น หลายๆอย่างทำให้มั่นใจว่าคนนี้แหละที่จะอยู่กับเราไปจนแก่ จริงๆแล้วความสัมพันธ์เหมือนการวิ่งทางไกล เราต้องหาคู่ที่จะช่วยกันประคับประครองให้เราเดินต่อไปได้ คนเรามีช่วงอ่อนแอ ช่วงที่แข็มแข็ง บางเรื่องที่อ่อนแอ บางเรื่องก็แข็มแข็งการมีคู่ชีวิตก็เพื่อเติบเต็มกันและกัน 

- ปีนีเป็นปีที่มีการพัฒนา skill ด้านอื่นๆนอกจากกงานหลายทางมาก เริ่มมีการวางแผนครอบครัว การคุยเรื่องเงินหมุนต่างๆในชีวิต การวางแผนการเงินเพื่อซื้อ อสังหา และ ปัจจัย4 อื่นๆ มีการคุยเรืองการซื้อบ้าน และได้มีโอกาสเข้าไปทำ process จนเกือบจะได้บ้าน แต่ผมยกเลิกก่อนด้วยเหตุผลเรื่องความพร้อมทั้งความมั่นคงในงาน และ การเงิน รวมถึงการแบกภาระหนี้ ซึ่งต้องขออภัยคนที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง ที่ผมยกเลิกในวินาทีสุดท้าย โชคดีที่ทุกอย่างยังทันเวลา เหตุการณ์ครั้งนี้สอนบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ ให้เราเป็นคนเด็ดขาด ตกลงคือตกลง ไม่ก็คือไม่ อย่าปล่อยลากยาวจนคนอื่นได้รับผลกระทบ การถอยมาครั้งนี้เพื่อกลับมาตั้งหลัก และวางแผนการเงินใหม่หมด ตอนนี้มีเป้าหมายแล้ว มีความรู้แล้ว เมื่อผมพร้อมอีกครั้ง รอบนี้เราจะคิดมาถี่ถ้วนดีแล้วจริงๆ ทุกอย่างมีเวลาของมัน เราจะผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้แล้ว รอบนี้ได้โอกาสให้ถอยกลับมาตั้งตัว รอบหน้าเราต้องพร้อมจริงๆ 

- การเงินมั่นคงมากขึ้นแล้วพอสมควร ต้องขอบคุณบริษัทปัจจุบันที่ทำอยู่ถึงแม้ว่าหลายๆอย่างมีทั้งด้านดีและร้าย แต่อย่างน้อยบริษัทนี้ก็ทำให้ผมได้มีเงินก้อน ที่พร้อมจะทำไปต่อยอดสิ่งต่างๆ จำนวนที่ได้พูดตรงๆว่าน่าจะหาได้ยากในบริษัทในไทยจะให้ได้ หลายคนบอกไว้ว่าเงินก้อนใหญ่ก้อนแรกเป็นสิ่งสำคัญในการต่อยอด เพราะถ้าไม่มีมันหรือมีไม่ถึง มันก็ยากที่จะทำอะไรที่ก็มีต้นทุนไปหมด ซึ่งต่อจากนี้จะมีการวางแผนมากขึ้น และพยายามหาโอกาสอื่นๆอยุ่เสมอๆ เพราะอะไรๆก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น 

- เรื่องหลายๆเรื่องในชีวิตของครอบครัวก็ solved ในปีนี้เยอะมากๆ มองย้อนกลับไปก็ขอบคุณตัวเองที่ผ่านมันมาได้ เรื่องที่น่าห่วงหลายๆเรื่องก็​ solved เกือบหมดแล้ว ทำประกันให้พ่อแม่แล้ว และต่อจากนี้ก็จะพร้อมลุยกับบทต่อไปของชีวิตแล้ว

สุดท้ายนี้ ก็ขอเขียนถึงเป้าหมายในปีหน้าในแบบสรุปๆ 
- ปีหน้าจะเป็นปีที่ต้องวางแผนหนักๆ เพราะก็เริ่มมีรายจ่ายหลายๆอย่างในการสร้างครอบครัว และ การลงทุน ต้องตั้งใจทำงาน และหาโอกาสเข้ามามากขึ้น 

- ปีหน้าตั้งเป้าว่า skill อะไรที่ยังทำไม่เป็น ก็ไปฝึกให้เป็นให้ได้ทั้ง skill งาน และ skill การใช้ชีวิต เราเลื่อนออกไปเรื่อยๆไม่ได้แล้ว เพราะทุกอย่างมีเวลา มี deadline ของมันต้องวางแผนอย่างจริงจัง

- ปีหน้าทุกคนก็แก่กันไปอีกปีแล้ว สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญแม้จะมีประกัน แต่ก็ใช้ขีวิตอย่างประมาทไม่ได้ ปีหน้าจะออกกำลังกายแบบมีวินัยมากขึ้น กำลังจะเริ่มจัดฟันใสแล้ว เป้าหมายในอนาคตอาจจะต้องเจอคนมากขึ้น บุคลิกจะเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้น 

- เรื่องการงาน ปีหน้าขอให้เป็นปีที่มีความกล้า แน่วแน่และเด็ดเดี่ยว เรารอไม่ได้อีกแล้ว ถ้าอะไรที่มันไม่ใช่ หรือช้า เราก็ควรต้องก้าวเดินต่อไป อย่าเอาชีวิตตัวเองไปขึ้นกับใคร และก็อย่าคาดหวังให้ใครเป็นแบบที่เราคิดเช่นกัน แต่ละคนมี priority ต่างกัน อย่าทุ่มทางใดทั้งหมด ให้มีทางเลือกให้ตัวเองไว้ด้วย

สุดท้ายท้ายสุด ขอบคุณตัวเองมากๆที่ผ่านหลายๆเรื่องมาในปีนี้ ปีหน้าอะไรที่ดีก็ขอให้คงไว้ อะไรที่ควรแก้ก็ขอให้แก้ไขได้ให้หมด สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน




วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564

REVIEW 2020

REVIEW 2020 

ปีนี้เป็นปีที่แปลกที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ เป็นปีที่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น กลายเป็นคนระมัดระวังมากขึ้น และ ยังเป็นปีที่มีช่วงเวลาที่เว้นว่างให้ได้คิด ได้กลับมาหันหัวเรือกันใหม่ เรียกได้ว่าปีนี้เป็นปีที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมี ไม่คาดคิดคาดฝันมาก่อน

สุขภาพร่างกาย และ จิตใจ

  • เริ่มต้นปีด้วยโรคโควิด ที่ตอนแรกที่ฟังข่าวก็ไม่ได้อะไรมาก คิดว่าคงเหมือน ebola ที่มาไม่ถึงไทย แต่หลังจากเห็นการลุกลามของมันแล้ว มันเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดการเลยก็เป็นได้ โดยปกติผมเป็นค่อนข้างสะอาดอยู่แล้ว และค่อนข้างระวังตัว ในช่วงแรกผมเลยไม่ได้กลัวอะไรมากนัก แต่พอได้รู้ว่าชาวจีนติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ประกอบกับที่ทำงานเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของชาวจีนเลยก็ว่าได้ ทำให้เริ่มมีความวิตกกังวล ความวิตกกังวลนี้ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกเพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็เริ่มมีอาการเป็นไข้ หลังจากมีเพื่อนร่วมงานในออฟฟิตมีอาการเป็นหวัดไอจาม ตอนนี้ความกลัวผมก็มาถึงที่สุด ผมหยุดงานไปหลายวัน หลังจากนั้นก็ได้ยินว่าเพื่อนๆออฟฟิตก็เริ่มเป็นไข้ ไล่กันทีละคน เพื่อนร่วมงานคนนึงที่เป็นคนแข็งแรงตั้งแต่ผมเข้ามาทำงาน ยังไม่เคยเห็นเขาเป็นหวัดสักครั้ง ครั้งนี้เค้าเป็นไข้หายไป 2-3 วัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกลัวโรคติดต่อเรียกว่า ที่สุดครั้งนึงในชีวิตเลยก็ว่าได้ โชคดีที่สุดท้ายทุกคนสามารถ recover กลับมาได้ หายป่วยเป็นปกติ จนถึงปัจจุบันนี้พวกผมก็ยังไม่แน่ใจว่า ณ วันนั้นเราได้ติดจนหายไปแล้วหรือเปล่า หรือก็แค่ติดไข้หวัดธรรมดา

  • เป็นครั้งแรกที่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นซึมเศร้า แม้ผมจะไม่ถึงกับเป็นก็ตาม สาเหตุต้องเล่าย้อนกลับไป หลังจากหายไข้ผมก็ยังมีอาการ หายใจไม่สะดวกอยู่ ที่ไม่มั่นใจว่าเกิดอาการนี้เพราะอะไร ผมตัดสินใจยังไม่ไปตรวจเพราะในช่วงเวลานั้น ความเข้าใจในการแพทย์ต่อการติดต่อของเชื้อโรคนี้ ยังไม่แน่นอนแน่ชัดมากนัก ผมกลัวจะไปติดเชื้อที่โรคพยาบาล ประกอบกับรัฐบาลบอกว่าถ้ามีอาการแต่ไม่ได้ไปจุดเสี่ยง ไม่ต้องมาตรวจเพราะจะยิ่งเสี่ยง ผมเลยรักษาตัวเองอย่างดีที่บ้าน ในช่วงเวลานี้ผมกังวลเป็นอย่างมาก ทำงานได้น้อยลง และเริ่มระวังทุกอย่างรอบตัว วิตกกังวลจนน้ำหนักลดไปหลายกิโล คนรอบข้างก็สังเกตุได้ ช่วงนั้นอารมณ์ดำดิ่งมากๆ ปกติผมจะเป็นคนที่ ค่อนข้างพลังงานชีวิตสูง ผมมี passion ผมทำงานหนัก โดยไม่เหนื่อยล้า มีโปรเจคทั้งในงานประจำ และโปรเจคส่วนตัวที่ทำหลังเลิกงาน ที่ผมตั้งใจทำอย่างไม่ย่อท้อ หลังจากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ passion ก็เปลี่ยนไปสิ้นเชิง ผมไม่เข้าใจตัวเอง ไม่สามารถกำจัดความวิตกกังวลนี้ออกไปจากใจได้ แม้กระทั่งตอนที่ สถานการณ์โควิดกลายเป็น 0 ติดต่อกันหลายเดือนแล้วก็ตาม ผมเริ่มมีอาการที่คล้ายคลึงกับไมเกรน ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีช่วงชีวิตแบบนี้ ผมนึกไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะงานต่อให้ผมทำพลาดผมก็เศร้าอยู่ไม่นานก็กลับมาใหม่ได้ เรียกได้ว่าสาเหตุของการต่ำติ่งของจิตใจครั้งนี้เป็นอะไรที่ไม่เคยคาดคิด

  • สายตาเริ่มมีปัญหาครั้งแรก หลังจากใช้งานมันมาอย่างหนักหน่วง เริ่มมีภาวะวุ้นในตาเสื่อม โชคดีที่ไปตรวจแล้วก็ยังดีอยู่ไม่เป็นอะไรมาก เริ่มกลับมารักษา ถนอมสายตามากขึ้น วางแผนการทำงาน และการพักผ่อนสายตามากขึ้น

  • ปีนี้ช่วงต้นปีแทบไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย จริงๆก็ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเพราะงานหนัก และผมเริ่มเร่งชีวิตตัวเอง ผมเคยตั้งเป้าหมายสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก่อน 30 ซึ่งก็ยังเหลืออีกหลายอย่างที่ยังไม่สำเร็จ ผมเลยคิดว่าต้องเริ่มเร่งแล้วละ หลังจากผมหายไข้ที่เป็นอยู่เกือบ week ที่เล่าไปก่อนหน้า ผมก็เริ่มอยากฟื้นฟูสุขภาพ ช่วงต้นปีถึงกลางปี ผมได้ Work from home ยาวๆ เลยติดสินใจซื้อลู่วิ่งมาที่บ้าน เพื่อให้พ่อแม่ผมได้ออกกำลังกายที่บ้านด้วย เพราะไม่อยากให้ออกไปนอกบ้านเท่าไร ช่วงนั้น covid-19 ยังรุนแรง เลยทำให้ผมได้ออกกำลังกายถี่ขึ้นและบ่อยขึ้นกว่าตอนต้องไปวิ่งไปออกกำลังที่ fitness ช่วงที่ออกกำลังกายถี่ๆ รู้สึกได้ว่าร่างกายดีขึ้น แต่เนื่องจากจิตใจยังไม่ดี เลยมีอาการป่วย ออดๆแอดๆบ้าง น่าจะจากความเครียดและคิดมาก

สรุป

ปีนี้เป็นปีที่ด้านสุขภาพร่างกาย และ จิตใจแย่มากๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีช่วงชีวิตที่ต้องกลัวการติดเชื้อโรคแบบนี้ และไม่คิดมาก่อนว่าจะเจออะไรที่ทำให้ตัวเอง down ไปเกือบปี โดย recover ยากมากขนาดนี้ ตอนนี้เริ่มดีขึ้นมากๆแล้ว จากปัญหาเหล่านี้ทำให้ผมเริ่มคิดเรื่องอนาคตมากขึ้น ผมไม่ได้อึดทำงานได้หามรุ่ง หามค่ำเท่าเดิมอีกแล้ว ต่อไปนี้เส้นทางชีวิตต้องชัดเจน รู้จักปฏิเสธเส้นทางที่จะเราไม่ได้เลือก คุณทำทุกอย่างพร้อมกันไม่ได้หรอก อย่าไปเสียดาย อย่าจับปลาหลายมือ แม้ใจจะสู้ แต่ร่างกายไม่เอาด้วย


การงาน และ แผนการชีวิต

  • ผมมีแผนการในชีวิตที่ต้องทำให้ได้ก่อน 30 ภาพในวันที่ตั้งเป้าหมาย กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันค่อนข้างต่างกันพอสมควร เพราะความเข้าใจในชีวิตหลังจากได้ลองเรียนรู้การทำงานหลายๆแบบมาแล้ว ทำให้มุมมองเปลี่ยน การวางแผนก็เปลียนไปเช่นกัน
  • เป็นปีที่ผมเริ่มมาจริงจังเรื่องโปรเจคส่วนตัว อยากทำให้มีธุรกิจที่สามารถเอาโปรเจคนี้มาทดลองใช้ได้ เรียกได้ว่า ได้เรียนรู้ทั้งการจัดการ การทำระบบ ไปพร้อมๆกัน แต่ค่อนข้างเป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงเพราะ หลายครั้งบริษัทพลาดโอกาสไปเพราะ ระบบที่ผิดพลาด ผมเข้าใจลูกค้ามากขึ้น พอเราลองมายืนทางฝั่งลูกค้า หรือผู้ใช้งานบ้าง ไอเดียที่เคยคิดไว้ก็ถูกเกลาๆ จนแตกต่างไปจากไอเดียเริ่มต้นมาขึ้น ปีนี้ผมได้ทดลอง pitch project นี้กับรุ่นพี่ที่เคารพ แต่เนื่องจากหลายๆปัจจัย ตัวโปรดัคที่ยังต้องปรับเปลี่ยนอีกเยอะ เมื่อทดลองใช้และเข้าใจปัญหาที่แท้จริงมากขึ้น ผมเลย pause ไว้ก่อน มาลองออกแบบใหม่กันอีกครั้ง ผมมีความคิดจะเริ่มทำ product นี้ใหม่อีกครั้ง เพราะผมเห็น pain ที่คนส่วนมากเจอ และ pain นี้มันชัดเหลือเกินในใจผม แต่มันก็ยากที่จะอธิบายให้คนอื่นได้ด้วยคำพูด คือต้องเคยเจอน่ะแหละถึงจะเข้าใจความสำคัญของโปรดัคนี้ เป้าหมายต่อไปคือ ต้องการทีมที่พร้อมจะไปด้วยกัน เชื่อใน passion นี้
  • ปีนี้ผมรับงานนอกอีกครั้ง ต้องบอกว่าผมและทีม โชคดีที่ได้ connection งาน scale ใหญ่พอสมควรมาจาก อาจารย์ที่ปรึกษา แต่ก่อนหน้านี้ต้องขอโทษทีมจริงๆ ผมละเลยงานเนื่องจากปัญหาชีวิต ในช่วงนั้น ทำให้ลึกๆผมอยากลองเต็มที่กับมันดูอีกสักครั้ง ขอแก้ตัว ครั้งนี้โอกาสกลับมาอีกครั้ง อยากรู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง จะได้ไม่เสียใจในภายหลังว่าทำไมถึงไม่ลองเต็มที่กับโอกาสทางนี้ดูก่อน สรุปคือ เป็นงานที่ค่อนข้างพูดได้ว่าไม่คุ้ม ผมเสียเวลา เสียแรงไปมากกว่าที่คิดเยอะมากๆ แต่ก็ได้ลองใช้ ภาษา และ stack ที่เคยอยากใช้ เป็นบทเรียนที่สอนให้ผมอย่างดี ว่าควรวางแผนอย่างดีก่อนจะเริ่มงานอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นไม่ทำดีกว่า อย่าเสียดายกับโอกาสเล็กๆน้อยๆ โดยรวมถือว่าคุ้มในด้านประสบการณ์ แต่ไม่คุ้มกับแรงงาน และเวลาที่เสียไป อย่างน้อยก็ได้เป็นข้อพิสูจน์อะไรหลายๆอย่าง ผมจะไม่เสียดายอีกแล้ว ถือว่าเป็นการเติมเต็มข้อกังขาในชีวิต
  • ปีนี้เรื่องการเมืองส่งผลกับ เป้าหมายชีวิตผมอย่างมาก ผมได้เห็นการล้มของ startup หลายเจ้า หลายเจ้าก็กลับมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ หลายเจ้าก็ทนไม่ไหวล้มหายตายจากไป ภาวะ COVID ทำให้ผมได้เห็นความสำคัญที่แท้จริงของภาครัฐ ต่อธุรกิจในประเทศจริงๆ ความคิดในหัวผมตอนนี้คือ ถ้าผมยังอยู่ใน กฎเกณท์ของประเทศแบบนี้ มันช่างมืดมนเหลือเกิน น่าเศร้าที่ผมไม่สามารถทำความคิดความฝันผมให้เกิดขึ้นได้ในประเทศนี้ เป้าหมายผมเปลี่ยน ผมต้องไปต่างประเทศไปเก็บเกี่ยวความสำเร็จ เพื่อกลับมาเป็นข้อต่อรองในการทำความฝันของผม ในประเทศบ้านเกิดแห่งนี้
  • ปีนี้ผมเริ่มเห็นเพื่อนๆหลายๆคนเริ่มประสบความสำเร็จในชีวิต หลายคนประสบความสำเร็จอายุน้อยกว่าผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังเชื่อลึกๆว่า ตราบใดที่เรายังพัฒนาตัวเอง ยังมุ่งมั่นในเป้าหมาย ผมก็ต้องสำเร็จตามฝันได้เช่นกัน ต่างกันแค่เกิดเร็วหรือช้าก็เท่านั้นเอง สักปีผมจะมาเขียน review ด้วยความสำเร็จตามฝันให้ได้
  • จริงๆ ต้นปีนี้ผมวางแผนจะลาออกจากงานประจำมาโฟกัสที่ โปรเจคส่วนตัวอย่างเต็มที่ และช่วยงานที่บ้านด้วย แต่จาก COVID ทำให้ผมได้ work from home ผมมีเวลามากพอที่จะช่วยที่บ้านไปพร้อมกับการทำงานบริษัทอย่างเต็มที่ แต่ทางกลับกันปีนี้เป็นปีที่ผมเริ่มก้าวออกมา เพราะอยากให้ทุกอย่างมันรันได้เองโดยไม่มีผม เพราะผมมีแผนการจะไปต่างประเทศ พอออกมาบางอย่างที่ผมกังวลมันก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น หลายๆอย่างเดินไปได้เองอยู่แล้ว ผมกังวลเกินไป ผมเริ่มเอา tool ตามท้องตลาดเข้าไปแทน tool ที่ผมทำขึ้นเอง เพราะผมไม่มีเวลาจะ maintance ตัวระบบมากขนาดนั้น ผมประเมินงานผิดไป ผมมั่นใจในตัวเองมากไป สิ่งนี้ทำให้ผมเหนื่อยมากๆช่วงเวลาหนึ่งที่ งานประจำก็หนัก ปัญหาจาก tool ที่ผมสร้างให้ที่บ้านก็มีเป็นช่วงที่เหนื่อยสุดๆในชีวิตเลยช่วงหนึ่ง
  • ปีน้ีเนื่องจากโควิดทำให้ธุรกิจทางบ้านมีปัญหาเรื่องการหมุนเงิน ในบริษัทและปัญหาอื่นๆ แต่โชคดีที่ผ่านกันมาได้ ผมไม่ค่อยได้ช่วยเท่าไรแล้ว เพราะ down จากโควิดส่วนหนึ่ง และพยายามถอยออกมาส่วนหนึ่ง แต่ก็อยู่ช่วยอย่างเต็มกำลังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมช่วยปรับกลยุทธ์เล็กน้อย ซึ่งที่ได้ผลค่อนข้างดี เป็นความภูมิใจเล็กๆในหัวข้อ งานที่บ้าน
  • ได้เริ่มฝึก และ เรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง สมัคร course ภาษาอังกฤษไปค่อนข้างแพงพอสมควร ได้เลื่อนขั้นขึ้นด้วย ก็ถือเป็นการวัดทักษะ ที่เราไม่เคยมั่นใจมาก่อนเลยในชีวิต ปีต่อไปผมจะเอาจริงเอาจังแล้ว ทักษะนี้สำคัญต่ออนาคตผมมากกว่า ทักษะไหนๆเลยในตอนนี้
  • ก่อนจะไปต่างประเทศ ผมเริ่มมี plan จะเริ่มขยับไปทำงานในบริษัทที่มีชาวต่างชาติเยอะๆดูก่อน ให้เข้าใจ culture ของบริษัทต่างชาติ ก็มีเล็งๆไว้หลายที plan ล่มเพราะโควิดส่วนหนึ่ง เพราะความไม่กล้าของผมส่วนหนึ่ง ตอนนั้นกลัวชาวต่างชาติกับโควิด เฮ้อชีวิต ฮ่าๆ
  • สุดท้าย review งานปัจจุบันสักหน่อยจริงๆ อันนี้ต้องแอบขอโทษบริษัทปัจจุบัน เพราะแผนการที่ผมวางมันล่มไม่เป็นท่านี่แหละ เลยทำให้ตัวงานที่ทำปัจจุบันไม่เข้าร่องเข้ารอยเท่าไร ก่อนหน้านี้บริษัทปัจจุบันผมอยากทำเว็บโปรดัคหลักใหม่ทั้งหมด จริงๆ ณ ตอนนั้นถ้าผมประเมิน ผมทำเองก็ได้กับทีมน้องอีกหนึ่งคน จริงๆมันทันนะ แต่ตอนนั้น แพลนจะไปโฟกัสโปรดัคที่บ้านเต็มที่ เลยไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนั้นไป เค้าเลยไปจ้าง outsource ข้างนอกมาทำกลับเป็นเสียโอกาสพิสูจน์ตัวเองไปเลย ตัวโปรเจคมันเลยไม่ค่อยจะถือว่าเป็นของที่ผมสร้างมาเท่าไร ไม่ได้ภูมิใจเท่าไร เหมือนมา maintain เฉยๆ พอแผนเปลี่ยนผมก็เปลี่ยนก็เริ่มพยายาม เก็บเกี่ยวความรู้ระหว่างการทำงานให้ได้มากที่สุด พยายามเอาท่าแปลกๆมาลอง ในโปรเจค แต่ไม่ให้มันดูแตกต่างจากของเก่าเกินไป หลายๆอย่างก็ฝืนๆ เราไม่ได้ทำโปรเจคนี้มาตั้งแต่แรกอะเนอะ
  • ในเรื่องทักษะ technical ปีนี้ถือว่าได้กลับไปอ่าน fundamental ของหลายๆอย่างที่ใช้มาหลายปี เข้าใจมันมากขึ้นมากๆ ได้มีโอกาสลองไปอ่านฝั่งการ design backend และ frontend รวมไปถึงทักษะต่างๆ แต่เป้าหมายปีที่แล้วที่จะ เรียนรู้ infra ให้มากขึ้นเนี่ยจนปีนี้ก็ยังไม่ได้ทำแฮะ เอาจริงๆงานพวกนี้ถ้าไม่ได้มีโอกาสให้ทำจริงๆ ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรเพื่อฝึกฝนดี ซื้อ course แต่ดองอยู่ หวังว่าปีหน้าจะได้ไป discover infra field แบบเต็มตัวนะครับ
  • ทักษะ soft skill ปีนี้ ได้ทำเยอะอยู่ แม้ทีมจะมีสองถึงสามคนเนี่ยแหละ 555 ผมพยายามทำให้การ launch การทำ version มีระบบมากขึ้น มีการ track มีการสื่อสารกับทางฝั่ง QA และ PM ให้เป็นระบบมีการจดบันทึก รวมไปถึงการ บันทีก architect design decision ด้วยแหละ ความเห็นผมคือดีขึ้นมากนะ เป็นระบบมากขึ้น แต่ก็เหนื่อยอยู่แฮะ ต้องทั้งจัดการเรื่องเหล่านี้ และต้อง code ในจำนวนงานที่เท่าๆเดิม แต่ปีนี้ก็ได้เลื่อนขั้นอยู่ ได้มาลองเป็น architect ที่ยังต้อง code หวังว่าทักษะนี้จะได้เอาไปใช้ ตอนที่มีโอกาสได้บริหารทีมใหญ่ๆนะครับ จะที่บริษัทปัจจุบัน หรือที่บริษัทอื่นในอนาคตก็แล้วแต่

สรุป

การงานปีนี้แผนพังพอสมควร จริงๆถ้าจิตใจไม่ down ก็คงปรับตัวกลับมาได้เร็วกว่านี้ แต่ก็นะ ใครจะไปรู้อนาคต คนเราก้มีจังหวะขึ้นลงสลับกันไป แต่ปีนี้มีวินัยมากขึ้นนะ ทำอะไรตามแผนการมากขึ้น กลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น โดยภาพรวมด้านการงาน ก็ไม่แย่มากนะปีนี้ ยังมีอะไรดีๆอยู่ แต่ชีวิตก็เคลื่อนที่ไปช้ากว่าที่คาด พอสมควร ไม่เป็นไรปีหน้าเอาใหม่ เรื่องงานที่บ้านตอนนี้เริ่มคงตัวแล้วนะ พร้อมสำหรับการไปทีอื่นนานๆแล้วละ ไม่ต้องอยู่ support ขนาดนั้น จริงๆบริษัทที่บ้านเนี่ยให้มีกำไรอยู่ได้ผมก็พอใจแล้วละ เรื่องโปรเจคส่วนตัวตอนนี้ requirement, business model ก็ชัดแล้วเหลือทำแหละ เหลือทีม ก็ต้องลองหา จริงๆขอแค่ทีมที่พร้อมสู้ไปด้วยกัน เวลามีปัญหาก็พอแล้ว ไม่ต้องเก่งหรอก คนเก่งเอาไว้จ้างเอาดีกว่า เก่งมากก็อีโก้มาก อีโก้มาก ก็คุยกันยากหน่อย


ความรัก

  • ความรักปีนี้ เห็นเค้าตัวเค้าบอกว่าคงที่ เราก็คงที่ก็ได้ 5555
  • ผมถือว่าตัวเองโชคดีมากๆที่เจอ คนที่เข้าใจ ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ผมอ่อนแอที่สุดแล้ว อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะมีปีนี้อยุ่ แต่ก็มีมิลค์ ที่ช่วยปลอบ ช่วยเรียกสติ ทำให้เจอตัวเองตอนที่กลัวอะไรสุดๆ เหมือนเด็กน้อยไปเลย ขอบคุณมากครับผม
  • จริงๆมีแผน ว่าจะไปเที่ยวนู้นนี่ด้วยกันให้มากขึ้น คิดว่า ชีวิตต้องเริ่ม balance แล้วตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว แต่สุดท้ายตรงกันข้ามเลย เพราะ COVID นี่แหละนะพังหมดเลย มิลค์ก็งอแงเล็กน้อย แต่ก็จากข้อบน เจ้าตัวก็เข้าใจ
  • ผมพยายามให้มิลค์เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกัน เพราะผมอยากให้เราไปด้วยกัน ไปทำงานต่างประเทศด้วยกัน ไปอยู่ที่นั่นสักปี สองปี แล้วค่อยกลับมา อาจจะไปเรียน หรือทำงาน แล้วแต่กำลังเงิน
  • จริงๆก่อนจะไปแบบนั้นได้ต้อง หมั้นก่อน หรือแต่งงานก่อนด้วยแหละ จริงๆมีความคิดนี้มาสักพักแล้ว แต่กำลังเก็บตังอยู่ สร้างความพร้อมอยู่

โดยรวมปีนี้เป็นปีที่แย่มากๆปีหนึ่งของผมเลย โชคดีที่ได้ Work from home ไม่งั้นผมคงจะจิตตกมากกว่านี้แน่ๆ ปีนี้เป็นปีที่เอาแต่กลัวเจ้าโควิด ชีวิต แผนการทุกอย่างพังหมด แต่โชคดีหลายๆเรื่อง บางเรื่องยังไม่เริ่ม โควิดมาก่อนก็โชคดีไปไม่งั้นคงหนักกว่านี้แน่ๆ ปีใหม่นี้ 2021 โควิดกลับมาอีกแล้ว และดูท่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆไปอีก ผมไม่อยากจะหยุดอยู่กับที่อีกแล้ว จะพยายามเคลื่อนที่ตัวเองไปพร้อมกับไอเจ้าโรคนี้นี่แหละ จนกว่าจะได้ฉีดวัคซีนถึงจะกลับมาทำนู่นนี่ได้อย่างสนิทใจเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เห็นชัดๆในปีนี้เลยคือร่างกายผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรต้องวางแผน มุ่งมั่น และ focus มากขึ้น ต้องสำเร็จแล้วละ ไม่จับปลาหลายมือแล้ว เจอกันครับปี 2021 หรือ 2020 part 2 อย่างที่ใครๆเค้าบอกกัน

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

What is life ??

  ไม่ได้มาเขียนนานสมควร ตอนนี้ผมอยู่ที่ต่างจังหวัด อยู่ว่างๆเพราะเป็นช่วงพักจากเวลาเรียนเลย
อยากลองค้นหาสิ่งที่ผมสนใจในเน็ตไปเรื่อยๆ วันนี้จะมาพูดถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมมนุษย์
ก็คือ เหตุผลของชีวิต ? คำถามสั้้นง่ายที่มนุษย์ใช้เวลาหาคำตอบในแง่วิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เริ่มมีศาสนา
ในทางพุทธชีวิตเกิดขึ้นจาก กรรม ในอดีตชาติ ส่งผลให้เกิดมนตำแหน่ง และ สถานะที่ถูกกำหนดจากวิบากกรรม ผมเป็นคนเมื่ออ่านบทความใดๆไปจะพยายามนำออกมาตีความให้เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดซึ่งแนวคิดเหล่านี้ก็เป็นแนวคิดที่ทั่วโลกยอมรับในการพิสูจน์ ปัญหาต่างๆ ผมลองคิดย้อนกลับไปว่ากรรมแรกสุดของจิตวิญญานคืออะไรแล้วเหตุใดจึงต้องเกิดกกรรม เหตุผลที่อยู่ในสมองและคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ที่สุดเท่าที่ผมเคยศึกษามาก็คือ เพราะว่าจักรวาลนี้ไม่สมบูรณ์ นั่นคือจักรวาลนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ ที่สิ่งเกิดพร้อมกันในวันที่จักรวาลถือกำเนิดขึ้น จิตเป้นสิ่งที่เกิดขึ้นมาในห้วงเวลานั้นเช่นกัน เมื่อมีจิตเกิดขึ้นก็กิดสามัญสำนึก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่สมดุล ของจักรวาลอันเกิดจากความเป็นอิสระของจิต ที่สามารถจะเลือกคิดดี หรือ คิดร้ายได้ เมื่ออิสระเกิดตัวเลือกก็เกิด หากมองเป็นการสุ่ม
ในการสุ่มให้จิตแต่ละจิตเลือกที่จะกระทำำสิ่งต่างๆ ย่อมต้องมีบางส่วนที่เลือกที่จะคิดร้าย ดังเช่นที่เราเห็นในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนไหน ก็ใช่ว่าจะมีแต่ คนดีทั้งหมด ทุกชน ก็ย่อมมีจุดด่างพร้อยเสมอๆ นี่เป็นจุดที่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจในจักรวาลตามความคิดของผมมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วธรรมชาติของจิตในการเลือกตัวเลือกการกระทำต่างๆอิันเกิดจากอิสระจากการเลือก ต่างมีปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกอีกมากมาย แต่ด้วยอิสระก็ทำให้เรามองข้ามปัจจัยใดๆที่เกิดขึ้นได้ด้วยหลักธรรมในทางพุทธอันจะทำให้จิตเลือกตัวเลือกที่ดี และ เป็นระเบียบ ผมเคยสงสัยว่าในทางพุทธจะมีพระเจ้าหรือไม่เมื่อผมลองค้นหาไปเรื่อยๆก็พบว่า ในทางพุทธพระเจ้าท่านคือดวงจิตชั้นสูงรูปแบบหนึ่งเป็นดวงจิตชั้นสูงที่มีคุณธรรม และ บารมีและท่านก็ยังไม่หลุดพ้น ท่านเปรียบดังดวงจิตส่วนที่รู้ว่าทางที่ถูกต้องคืออะไร ทำให้เกิดเป็นศาสนาต่างๆอันเกิดจากหลักคำสอนที่ต้องการให้ดวงจิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอันเกิดมาจากการทำวิบากกลับต่างๆ หรือ ผลกระทบจากการเลือกต่างๆ มีแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น และ เดินในทางเลิอกที่ถูกต้อง ในความคิดของผมคิดว่าผมเหมาะกับพุทธศาสนาแท้ที่สุด เพราะทุกอย่างสามารถปฎิบัติได้จริง และ สามารถถามคำถามได้ ไม่เพียงแค่เชื่อ อันที่จริงความเชื่อก็เป็นสิ่งที่สำคัญคนเรา เมื่อใดที่มีวความเชื่อในสิ่งต่างๆ ว่าท่านจะคุ่มครองเรา ความเชื่อเหล่านี้ทำให้เราทำความดี และ มีกำลังใจใช้ชีวิต แม้มีอุปสรรคใดๆ พูดง่ายๆคือที่พึ่งทางใจ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สมุษย์ต้ิองการ เพราะชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ มีช่องว่างในชีวิตมากมายเ้หตุผลก็เป็นเพราะความไม่สมบูรณ์แบบของจักวาล ง่ายๆแค่คนเราเกิดมายังมีไม่เท่ากัน มนุษย์ต้องการคำตอบในความไม่เท่าเทียมนี้ สิ่งที่สามารถจะตอบช่องว่างเหล่านี้คือ ศาสนา หรือ ที่พึ่งทางจิตใจ มนุษย์จึงไม่สามารถขาดศาสนาได้ ศาสนาพุทธเป็นเหมอืนการเอาธรรมชาติออกมาตีแผ่ ทุกบทสามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผลตามอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันต้องการ นี่คือเหตุผลที่ำทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายท่านหันมาสนใจ ศาสนาที่สามารถตอบช่องว่างในชีวิตได้โดยการอธิบายหลักเหตุผล ที่สามารถนำไปปฎิบัติให้เกืดผลได้จริงหรือ สามารถพิสูจน์ได้  ไม่แน่ในวันหนึ่ง หากผมได้รับความรู้ใดๆ ที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด จักรวาลในคิดก็อยากจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้องการสุดก็เป็นได้่

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผ่านมาหลายเดือน กับชีวิตใหม่ๆ

    ตอนนี้ผมได้เจอทางของผมแล้ว ผมสามารถเดินไปกับมันได้อย่างมีความสุข ผมรู้ตัวแล้วว่าผมชอบจะทำงาน และ เรียนด้านไหน ผมเลือกจะศึกษาเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ แล้วผมก็ได้เข้ามาเรียน ตอนนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าผมเจอสิ่งที่จะอยู่กับผมไปได้อีกนานแล้ว

  ถ้าถามว่าเหตุผล ทำไมผลถึงอยากที่จะศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ ผมคิดว่า ศาสตร์ทางด้านการเขียนโปรแกรมหรือ ฮาร์ดแวร์ต่างของคอมพิวเตอร์นั้นเป็นศาสตร์ที่นำไปประยุกต์ใช้รอบตัวตั้งแต่คุณตื่นเช้ามา เช่น แอร์ที่คุณนอนตื่นมาก็เจอ รีโมททีวี และ ทีวี ของพวกนี้มี Embed system ทุกชิ้นเพื่อสั่งให้มันสามารถทำงานได้ ทไให้ มันน่าหลงไหลสำคัญผมมากที่จะสร้างสิ้่งประดิษฐ์ใหม่ๆที่สามารถอำนวยความสะดวกสบายแก่มนุษย์ ไปจนถึง ให้ความเพลิดเพลิน ตอนนี้ผมเริ่มเขียนโปรแกรมแล้ว ตอนนี้เขียนเป็นแค่ C และ Java เล้กๆน้อยๆไม่ได้เก่งมาก แต่ผมจะพยายามศึกษาต่อไป
 
   ไม่กี่วันมานี้ผมได้เอ่านเจอบทความเกี่ยวกับ เจ้าเทคโนโลยี ที่จะว่าใหม่ก็ไม่ได้ใหม่ซะที่เดียว น่าสนใจมากๆ มันคือ kinect เป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนหรือ ท่าทาง แม้กระทั่งเสียง ในระบบสามมิติ เมื่อผมเห็นคนที่เอาเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาแล้ว ก็รู้สึกชอบทันที เพราะผมว่ามันยังพัฒนาไปได้อีกไกล น่าสนใจมากๆการพัฒนาของมันสามารถพัฒนาไปได้อีกในวงกว้างไม่ว่าจะเป็นทางสร้างความเหลิดเพลิน หรือ โลกเสมือน พูดถึงโลกเสมือน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมสนใจมากนานแล้ว เมื่อก่อนผมได้เข้าไปเล่นใน Secondlife ที่เป็นโลกเสมือนชนิดหนึ่งอยู่ช่วงหนึ่ง ผมคิดว่าแนวคิดเค้าเวริคมาก แต่เนื่องจากเทคโนโลยีตอนนี้ยังไม่อำนวย การที่ตัวละครในเกมสามารถทำอะไรก็ได้อิสระ เป็นข้อดีของตัว Secondlife แต่เนื่องจากความเร็วของเน็ตในภาคครัวเรือนยังไม่เร็วมากนัก ทำให้การขยับควบคุมร่างกายเป็นไปได้ยากพอสมควร และ ทำให้เสียอรรถรสไปบางส่วน เมื่อลองเอาสองอย่างข้างต้นนี้มารวมกัน
kinect + Virtual world และที่ขาดไม่ได้คือ เทคโนโลยีสามมิติ ไม่ว่าจะเป็น hologram หรือ เป็นจอสามมิติต่างๆ คุณก็จะได้ โลกเสือน หรือ วัตถุสเมือนในเล็กแห่งความจริง ถ้าสามารถทำให้เกิดได้จริง คงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับโลกหลายอย่างทีเดียวไม่ว่าจะเป็นการประชุมโดยไม่ต้องมานั้งประชุมเอง หรือ การเรียนการสอนที่สามารถทำให้นักศึกษา สามารถเข้าใจในรูปร่างรูปทรงได้ดียิ่งขึ้นน่าสนใจทีเดียว

   ตอนนี้ผมกำลังพัฒนาฝีมือเกี่ยวกับ โปรแกรมอยู่โดยหวังว่าผมจะได้เข้าไปลองพัฒนาเจ้า kinect นี้ดูบ้างเพราะผมมีไอเดียเกี่ยวกับมันอีกเยอะ แค่ผมได้เห็น Feature ของมันผมรู้สึกได้เลยว่าเทคโนโลยีตัวนี้แหละจะเปลี่ยนอนาคต และเป็นเส้นทางสู่ สิ่งใหม่อีกมากมาย จนนึกไม่ถึงเลยทีแล้ว ตอนนี้ทาง microsoft ได้ขายเครื่องนี้สำหรับนักพัฒนาแล้วในราคาไม่เกินหมื่น ถึงว่าก็ถูกพอสมควรสำหรับการศึกษา เมื่อก่อนเจ้า kinect นี้มีไว้เพียงเล่นเกมกับเครื่อง xbox เท่านั้น หลังจากนี้ไปผมคิดว่าก็คงมีการให้ kinect ในการพัฒนาอีกมากจากห้องวิจัยทั่วโลก ...

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทความแรก

ชีวิต ที่ผ่านมามีทั้งเวลาที่มีสุข เวลาที่มีทุกข์ แต่ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหนเราก็ผ่านมันมาได้ อาจจะด้วยดี หรือไม่ก็ตาม วันนี้ เปนวันแรกที่ผมเริ่มเขียน Blog เนื่องมาจาก ช่วงนี้ชีวิตผมตกต่ำอย่างที่สุด ถึงขนาดไม่อยากจะ มองใคร ไม่อยากกลับไปคุยกับเพื่อนเหมือนเดิม ผมจึงอยากมาลองระบายใน Blogger นี้ดูเผื่อจะมีใครหลงมาพบ มาเจอ แล้วให้คำแนะนำได้บ้าง เมื่อวานผมได้ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ที่เชิญนักพูดให้กำลังใจ ที่พูดถึงจิตใต้สำนึก มาตอนแรกก็กะจะดูผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่มีอยู๋คำพูดหนึ่งที่แขกรับเชิญพูดออกมา คือ คนเราถ้ายังไม่รักตัวเองก็คงจะทำอะไรดีๆในชีวิตไม่ได้ การรักตัวเองคืออะไร การรักตัวเอง ในความหมายของแขกรับเชิญคนนี้คือ ความภูมิใจในตัวเอง คิดว่าตัวเองมีศักยภาพพอจะทำสิ่งดีๆให้เกิดในชีวิตซึ่ง ที่ผ่านมา ผมมักจะคิดวกไปวนมาในสิ่งที่ผมทำผิดพลาด ทำไม่สำเร็จ นั่นยิ่งทำให้ชีวิตผมดำดิ่งลงเรื่อยๆ มันทำให้เราทุกข์ทรมานมาก ทางหนีปัญหาของผมคือ การทำอะไรก็ได้ไม่ให้คิดถึงมัน ...
ซึ่งสิ่งนั้นคือ การเล่นเกมทั้งวัน ดูหนังทั้งวัน กินเยอะๆบ้าง แต่มันก็บรรเทาความทุกข์นี้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ความจิงแล้วสิ่งที่ผมทำอยู่นี้ คือการหนีปัญหา เมื่อผมหนีเรื่อยๆ จิตใจก็ตกต่ำเรื่อยๆ เมื่อจิตใจป่วย
ร่างกายก็เริ่มจะไม่สู้ดี พลอบป่วยตามจิตใจไปด้วย ผมพยายามถามตัวเองตลอดมาว่าเราทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมต้องหนีปัญหา ทำไมต้องเครียดทำร้ายตัวเอง ทำไมเราไม่มุ่งหน้าสู้ คิดได้แต่ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้
จะเริ่มต้นอย่างไร เมื่อคิดถึงการทำอะไรดีๆขึ้นมา ก็จะมีความผิดพลาดในอดีตแวะเข้ามาคอยตอกย้ำซ้ำๆ
เหมือนจะบอกว่า " ก็แกเคยทำมันแล้ว แล้วเปนไงละล้มไม่เปนท่า ต่อไปก็คงจะเปนอย่างนั้นอีก " 
ทำให้หมดกำลังใจในการดำเนินชีวิต ต่อไป เมื่อเปนอย่างนี้นานๆ ความสำเร็จไม่มาเยือนนานๆ 
ก็ทำให้กลายเปน ไอขี้แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะจะทำอะไรดีหน่อยก็โดนความผิดพลาดในอดีต
เปนตัวสบประมาทไปก่อน แม้ผมจะเข้าใจมันแต่ก็ไม่รู้วิธีแก้ เมื่อพูดในภาษาพุทธก็คือ ผมรู้ว่าทุกข์
คืออะไร แต่ไม่รู้ว่า มรรค คืออะไร จนเมื่อวานได้ดูรายการทีวี ก็คิดว่าทางนี้อาจจะทำให้ผมกลับไปมี
กำลังใจในการดำเนินชีวิตอีกครั้ง แล้วจะมาเขียนต่อครับ ...